งานใหญ่ช่วงต้นปี shoppingmode Apple Event เชื่อว่าใครหลายคนต่างก็จับตามอง ล่าสุด shoppingmode Apple เปิดตัว iPhone SE 3 2022 พร้อมกับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ มากมายให้สาวกได้ตาลุกวาวอีกครั้ง กับ Apple Event – Peek Performance เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2565 เวลา 01.00 น. The Thaiger จึงขอพาคุณมาซูมดูความเก่งของ iPhone ตระกูล SE รุ่น 3 นี้กันว่าจะคุ้มค่าเพียงไหน ในราคาเปิดตัวเริ่มต้นที่ 15,900 บาท
iPhone SE 3 สเปค
มาเริ่มดูกันที่หน้าตาภายนอกของ iPhone SE 3 กันก่อน ซึ่งในรุ่นนี้ก็ไม่ได้มีหน้าตาต่างไปจากรุ่นที่ 2 เท่าใดนัก ยังคงปุ่มโฮมอันเป็นเอกลักษณ์ของโทรศัพท์ Apple ไว้เช่นเดิม นอกจากนี้ยังมี “ความเหมือนเดิม” และ “ความแตกต่าง” ตรงไหนบ้าง เราจะลิสต์ให้ดูเป็นข้อกัน
Audi เป็นรถยนต์นำเข้าจากประเทศเยอรมันทุกรุ่น ลูกค้าที่ออกรถใหม่จะได้รับการดูแลจาก Audi Protection การรับประกันรถใหม่ 5 ปี หรือระยะทาง 150,000 กิโลเมตร แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน
รถไฟฟ้า Audi e-tron และรถ Plug-in hybrid TFSI e ใหม่ทุกรุ่นรับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน และบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน Roadside Assistance ทั่วประเทศ 24 ชั่วโมง นาน 5 ปี
จบกันไปแล้วกับงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ของ shoppingmode Apple – Peek Performance Event โดยในที่นี่ The Thaiger จะมาสรุปข้อมูลทั้งหมดให้ได้ทราบกัน (9 มี.ค. 2565) งานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ของ shoppingmode Apple ในช่วงต้นปีนี้ – Peek Performance Event ได้จบลงไปแล้ว ซึ่งในงานนี้ก็มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ถึงแม้จะไม่ใช่อะไรที่ใหญ่มาก แต่ก็มีความสำคัญอยู่ในระดับหนึ่ง สำหรับผู้ที่สนใจ หรือใช้งานผลิตภัณฑ์จาก Apple เป็นหลัก
ถือว่าเป็นทางการแล้วกับการมีอยู่ของสมาร์ทโฟนรุ่นประหยัด (รุ่นที่ 3) ของ Apple ที่ถึงแม้จะยังคงรูปลักษณ์เดิม แต่ก็มีการพัฒนา และเปลี่ยนแปลงของเครื่องในให้มีความร่วมสมัยมากขึ้น โดยผ่านการใช้งานชิปประมวลผล A15 ที่ถือว่ามีความเร็วที่น่าพอใจ และถูกใช้งานบน iPhone 13 series ด้วย พร้อมกันนี้มันยังสามารถรองรับระบบเครือข่ายสัญญาณ 5G
ในส่วนของรายละเอียดอื่น ๆ นั้น ก็ยังคงเหมือนเดิม แต่มีการพัฒนาขึ้นมาบางส่วน : หน้าจอ 4.7 นิ้ว แบบ Ceramic Shield, ระบบแสกนลายนิ้วมือ Touch ID, กล้องหลัง 1 ตัว ขนาด 12MP ที่ได้รับการเสริมประสิทธิภาพทางด้านซอฟต์แวร์ถ่ายภาพ, ขนาดความจำ 64GB, 128GB, และ 256GB, ระบบปฏิบัติการ iOS 15
โดยจะมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 15,900 บาท ในสีดำ (มิดไนท์), สีขาว (สตาร์ไลท์) และสีแดง ((PRODUCT)RED) และจะเริ่มเปิดให้สั่งจองได้ภายในวันที่ 18 มี.ค. 2565 ก่อนที่จะวางขายอย่างเป็นทางการในวันที่ 25 มี.ค.
M1 Ultra
แม้มันอาจจะไม่ใช่ชิปรุ่นใหม่โดยสิ้นเชิงไปเลย (M2) แต่ก็ถือว่าเป็นชิปรุ่นใหม่ที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นขั้นสูงสุดของรุ่น M1 ก็ว่าได้กับ M1 Ultra หากจะอธิบายให้ง่ายที่สุดนั้น มันก็คือชิปรุ่นใหม่ที่เป็นเอาชิป M1 Max มาเชื่อมต่อเข้าด้วยกันผ่านโครงสร้างที่เรียกว่า UltraFusion ที่จะมอบ bandwidth ได้ถึง 2.5TB/s
แน่นอนที่ว่าเมื่อมันคือการเอาชิป 2 ตัวเชื่อมต่อเข้าด้วยกันแล้วนั้น ประสิทธิภาพการทำงานของก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าตามไปด้วย : 20-core CPU, 64-core GPU, และ 32-core Neural Engine
นอกจากนี้ shoppingmode Apple ยังได้กล่าวว่าชิปรุ่นนี้จะใช้พลังงานน้อยกว่าชิประดับเดียวกัน (16-Core) – 100W (90%) เช่นเดียวกับการประมวลผลกราฟฟิค (64-Core) – 200W
ในส่วนของหน่วยความจำนั้น จะได้รับแบนด์วิดท์หน่วยความจำเพิ่มขึ้นเป็น 800GB/s และสามารถปรับแต่งหน่วยความจำแบบรวมได้สูงสุด 128GB
เป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการเสียทีกับ New iPad Air ที่ทำการใช้งานชิปประมวลผล M1 และรองรับระบบเครือข่ายสัญญาณ 5G (พร้อม eSIM) ซึ่งแน่นอนว่าจุดขายหลักก็คือ M1 Chipset ที่ทำให้มันมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับกับ iPad Pro แต่แค่ Air มี RAM น้อยกว่า
ในส่วนของการอัปเดตอื่น ๆ นั้น ก็เป็นในส่วนของกล้องหน้า ultrawide ใหม่ ที่มาพร้อมระบบ Center Stage – ที่จะทำการปรับมุมกล้องให้จับที่ตัวผู้ใช้งานอัตโนมัติ เมื่อใช้งาน video calls และทำการซูมออกเมื่อมีผู้ใช้งานคนอื่นเข้ามาในมุมกล้อง, USB-C port ที่มีความเร็วเพิ่มขึ้น 2 เท่า แลกเปลี่ยนข้อมูลได้เร็วถึง 10Gbps
รายละเอียดอื่น ๆ ก็ได้แก่ : จอภาพ Liquid Retina ขนาด 10.9 นิ้ว, กล้องหลัง 12MP, Touch ID บนปุ่ม Home, Landscape Stereo Speakers, ขนาดความจำ 64GB – 256GB และ iPadOS 15.4
ผลิตภัณฑ์ชิ้นสุดท้ายที่มีการเปิดเผยกันไป และได้รับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการเสียทีกับ Mac Studio และ Studio Display ที่เป็นเดสก์ท็อป Mac และจอภาพที่ใหม่จากทาง shoppingmode Apple
โดยตัว Mac Studio จะเป็นเดสก์ท็อป Mac ประสิทธิภาพสูงที่จะเปิดให้สามารถเลือกได้ระหว่าง M1 Max และ M1 Ultra และ Ports การเชื่อมต่อที่เพิ่มขึ้นมาเป็นจำนวนมากด้วย ทางด้านของ Studio Display นั้น ถือได้ว่าเป็นคู่หูของ Mac Studio ก็ว่าได้ โดยมีการออกแบบให้เข้ากันกับตัวเครื่อง ในส่วนของรายละเอียดนั้น มันจะเป็นหน้าจอ Retina 5K ขนาด 27 นิ้ว, ใช้งานชิป A13 Bionic และกล้องอัลตร้าไวด์ความละเอียด 12MP (แบบเดียวกับ iPad Air), ชุดไมโครโฟน 3 ตัว – ลำโพง 6 ตัว, พอร์ต USB-C จำนวน 3 พอร์ต
Credit : แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว | แต่งบ้านและสวน | พระเครื่อง | รีวิวกล้องถ่ายรูป